Summer Sonic At It’s Eighteen.

The Summer Sonic is an annual

rock festival in Japan. Reaching

the 18th anniversary this year,

it boasts an impressive line-up that would satisfy the appetites of many generations.

 

 

ตัดภาพมาอีกที จากรองเท้าผ้าใบเดินบนทางเดินหินเนี้ยบๆในโตเกียว กลายมาเป็นรองเท้าแตะบนพื้นทรายในชิบะ

 

ระหว่างที่ผมยืนโยกหัวไปกับ Tom Misch บนเวทีที่ตั้งอยู่บนพื้นทรายของ Beach Stage ผมก็เริ่มรวบรวมสติแล้วก็เริ่มพยายาม

 

หาความคิดแหลมคมที่น่าจะได้จาก Summer Sonic 2018 และเอาไปเขียนลง The Jam Mag. ให้ดูฉลาดและดูเป็นปรมาจารย์ด้านเฟสติวัล ความคิดรวมยอดผุดขึ้นมาในหัวผมอย่างเฉียบพลันนั้นคือ

 

Noel Gallagher นั้นแก่ลงไปเยอะเลย แต่ก็ยังโคตรเท่

 

ระหว่างที่คุณพี่แกเล่นดนตรีบน Marine Stage เมื่อคืน แล้วก่อนขึ้นเพลงต่อไป พี่แกส่งเสียง กิช เบาๆ เหมือนเป่าใส่ไมค์ แค่นี้คนก็กรี๊ดกันทั้งสนาม คนอะไรแค่กิชก็เท่ได้ขนาดนี้จนหูก็เบลอๆ ไป เล่นเพลงอะไรบ้างก็ไม่รู้ มัวแต่ดูแสงที่จับลงไปบนผมสีดอกเลา กับเนื้อหนังที่เหี่ยวย่นของแกแล้วก็มีกำลังใจ ว่าแก่ไปอีกนิดนี่เราก็น่าจะยังพอไหวอยู่ มีคุณพี่โนเอลเป็นที่หมายก็พอไหว ในระหว่างที่กำลังจะรีบเดินออกไปก่อนจบเพราะลูกชายจะรีบไปดู Tame Impala ให้ทัน หูก็แว่วได้ยิน Don’t Look Back In Anger ดังมาไกลๆ ไม่แน่ใจว่าแกใจดีเล่นให้ฟัง หรือหูผมแว่วไปเอง เพราะฝันอยากได้ยินเพลงนี้สดๆ สักครั้ง

35 SUMMER HIRES 9

Summer Sonic นี่มีมา 18 ปีแล้วได้นะครับและก็ยังเป็นเทศกาลดนตรีที่มีแฟนมาร่วมกันอย่างเหนียวแน่นตลอด 18 ปีที่ผ่านมา ผมเองนี่ก็มัวแต่ไปที่โน่นที่นี่จนลืม Summer Sonic ไปเลย ถ้าปีนี้ไม่ได้ลูกชายบังคับให้มาเป็นเพื่อนก็สงสัยว่าจะเป็นซัมเมอร์โซนิคเวอร์จินไปจนถึงตอนที่เขาฉลองครบรอบ 20 ปีโน่น

 

ดูจากตารางแสดงแล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่าทำไม Summer Sonic ถึงอยู่ยงคงกระพันน่าจะเป็นเพราะ line up มีความปะปนที่เอาใจคนรุ่นพ่อยุค 2000 ไปจนถึงรุ่นลูกวัยรุ่นได้อย่างมีสมดุลที่ดีทีเดียว ผมสามารถดู Beck เสร็จแล้วต่อด้วย Paramore ได้ในคืนเดียวกัน เป็นการผสมผสานระหว่างยุคสมัยที่มีเสน่ห์มาก แล้วผมก็นึกขึ้นได้ถึงความคิดแสนฉลาดเรื่องที่สอง

 

ผมเข้าใจ Beck มากขึ้นจากการดูเขาแสดง

 

ผมเองก็ไม่ได้เป็นแฟนแบบฮาร์ดคอร์ขนาดนั้นก็ซื้อแผ่นของ Beck มาฟังบ้าง บางเพลงก็เกท บางเพลงก็งง แต่พอได้ดู Beck แสดงบนเวทีแล้วถึงเริ่มเข้าใจความมีกิเลสตัณหาในดนตรีของเขาวิธีที่เขาเล่นกีตาร์เก่าๆ บนเวที แต่ใส่เสื้อสูทปักเลื่อมและหมวกดำ บ่งบอกได้ชัดถึงความกวนตีนของศิลปิน และพอเริ่มฟังดนตรีของ Beck มาจากมุมมองว่าเขาเป็นคนกวนตีนแล้ว ก็เริ่มเข้าใจดนตรีของเขาได้มากขึ้นอย่างประหลาด และก็สนุกไปกับเพลงของ Beck ได้อย่างดื่มด่ำกันเลยทีนี้

 

วงแรกๆ ที่ผมดูอีกวงนึง Pale Waves อันนี้ยอมรับเลยว่าลูกชายมันลากไปดู ไม่งั้นคงไม่ได้รู้จักPale Waves มาจากเมืองแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ แนวเพลงเป็นแบบ synth pop ที่มีกลิ่นgoth pop อยู่ค่อนข้างแรง ฟังแล้วก็นึกถึงวงในยุคสมัยเราอย่าง The Cure หรือ Prince ผสมมานิดหน่อยจางๆ

 

แล้วก็ยืนแฟลชแบคไปครู่หนึ่ง

 

วงที่ผมชอบอีก 2 วงใน Summer Sonic และเป็นครั้งแรกที่ผมได้เคยฟังเพลงของพวกเขาด้วยซ้ำเป็นวงญี่ปุ่นทั้ง 2 วง วงแรกเป็นวงชื่อประมาณPokadot Stingray นักร้องนำเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว แต่ร้องเพลงร็อกแบบดุเดือด แถมยังร้องไปพูดไปตลอดเวลา หันไปถามลูกชายว่าเขาพูดอะไรบ้าง ก็บอกว่าเขาพูดถึงความคิดที่เขามีเกี่ยวกับตัวเองและสิ่งรอบๆ ตัวเขา ถ้าจะให้นึกก็น่าจะเป็นวิธีที่ศิลปินญี่ปุ่นหลายวงเลือกที่จะสื่อสารกับคนดูของเขาให้แฟนๆ ของเขาเข้าใจว่าดนตรีของศิลปินนั้น ถูกสร้างขึ้นในบริบทแบบไหนที่ศิลปินอาศัยอยู่ เขามองเห็นสังคมเป็นแบบไหนเขาถึงแต่งเพลงออกมาแบบนั้น ภาษาไทยอาจจะเป็นคำว่า ’ทัศนคติ’ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ศิลปินทำงานภายในบริบทที่ชัดเจนเหล่านั้น ไม่ใช่ทำงานออกมาก่อนแล้วพยายามหาบริบทมาครอบ แบบนั้นอาจจะทำให้ศิลปินดูไม่ค่อยจะ authentic สักเท่าไหร่นะ

 

MFS: My First Story เป็นวงญี่ปุ่นชื่อแปลกอีกวงที่การแสดงสดนั้นเดือดมากลูกชายบอกว่า Hiro นักร้องนำของวงเป็นน้องชายแท้ๆ ของ Taka นักร้องนำของวง One Ok Rock ที่แสนจะโด่งดังและถูกลูกบังคับให้ไปดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนที่กรุงเทพฯ หลายครั้งอยู่ และดูจากปริมาณแฟนในกรุงเทพฯ ของ One Ok Rock ก็เลยไม่ต้องสงสัยเลยว่า Hiro จะมีความกดดันแค่ไหนในการต้องพิสูจน์ตัวเองที่จะส่องแสงพ้นเงาพี่ชายให้จงได้ การแสดงสดของ MFS จึงดุดันกว่า แรงกว่า และมีความอ่อนวัยและสิ้นคิดกว่า ในวิธีที่เป็น ‘เพราะเราเด็กทำอะไรก็ได้ไม่ผิด’ ได้มากกว่า ก็เลยพาเอาคนดูระดับมัธยมปลายทั้งหลายคลุ้มคลั่งกันได้สุดตัวคนแก่ก็ยืนสนุกและทำตาปริบๆ ด้วยความอิจฉา อยากกลับเป็นเด็กอีกสักครั้ง

 

แต่คนญี่ปุ่นที่มา Summer Sonic นี่มีอายุรุ่นผมก็ไม่ใช่น้อยนะครับ ใจนึงวูบแรกตอนมาถึงก็คิดว่า หรือวันเวลาของเรามันผ่านไปแล้ว (วะ) แต่พอเห็นลุงๆ ญี่ปุ่นรุ่นราวคราวเดียวกันสมัย Woodstock ยังเดินเกลื่อนไปมาได้ใจก็ชื้นขึ้นมานิดนึง

 

All of a sudden you realize your life

has been creeping ahead bit by bit,

whether you notice it or not.

 

35 SUMMER HIRES 42Mike Shinoda มาเล่นใน Summer Sonic โดยพาเอาเงาของ Linkin Park วงที่เขาก่อตั้งและเป็น rap vocalist มาด้วย

แบบภาคภูมิใจ Mike เล่นหลายเพลงของ Linkin Park ในโชว์สลับกับเพลงใหม่ของเขาเอง และกล่าวถึง Chester บนเวทีโดยไม่ได้พูดจากมุมมองของความโศกเศร้าแต่จากมุมมองของความภาคภูมิใจที่เคยได้รู้จัก เคยทำงานด้วยกัน และก็ยังเชื่อมั่นว่าChester เป็น vocalist คนหนึ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และยากที่จะหาใครมาทดแทนได้กล้องซูมหน้าของ Mike Shinida ขึ้นไปบนจอ LED ทั้งสองข้างแบบใหญ่มากจนยากที่จะซ่อนความเศร้าในแววตาของ Mike ที่ยังคงมีอยู่ได้ และชัดเจนในความรักของเขาที่มีให้กับเพื่อนร่วมวงที่เพิ่งจากไปไม่นาน

 

เรื่องฉลาดเรื่องสุดท้ายที่ผมได้จาก Summer Sonic ปีนี้ คือ Paramore ทำวงมาได้14 ปีแล้ว!

 

เวลามันช่างผ่านไปเร็วอย่างน่ากลัว Hayley บอกว่าเธอมาร่วมกับวงครั้งแรกในปี 2004 นั่นเธออายุแค่ 17 ปีเอง และหลายๆ เพลงในชุดแรกๆ นั้น เนื้อหาที่มีเธอก็ไม่ได้เชื่อแบบนั้นแล้ว แต่ก็เอามาร้องตอนนี้ได้สนุกๆ อายุ 17 ปี! ตอนนี้เธอก็คง 31 แล้วสินะ แต่ดูจากเธอทั้งร้องทั้งเต้นบนเวทีสุดตัวขนาดนั้นผมคะเนจากสายตาอย่างเดียวให้ไม่เกิน 27 เอ้า ผมมาฟัง Paramore ครั้งแรกก็เป็นชุดประมาณชุดที่สามได้แล้วมั้ง Brand New Eyes (2009) แล้วก็ยังรู้สึกว่า Paramore เป็นวงร็อกใหม่ๆ สดๆ ที่วัยรุ่นเขาฟังกัน เผลอแป๊บเดียวแค่กระพริบตาผ่านไป 14 ปีเฉยเลย ผมชอบ Paramore เพราะกลิ่นอายของ rock ที่มี pop punk และ grunge ปนอยู่นิดๆ ทำให้ผมนึกถึง Cyndi Lauper ผสมปนเปกับ No Doubt นิดๆ เออใช่ จะว่าไปลีลาของ Hayley บนเวทีนี่ก็ทำคิดถึงความบ้าของ Cyndi อยู่ไม่น้อยคุณเธอแสดงออกอย่างเป็นอิสระกับเสื้อยืดTalking Head บางๆ ตัวเดียวกับอันเดอร์แวร์สีแดงแจ๋ ไม่รักก็ไม่รู้จะยังไงละฮะ พ่อลูกชายถึงกับไม่ยอมพลาดแม้แต่นาทีเดียวของการแสดงบอกว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่วงที่ต้องดูให้ได้สักครั้งก่อนตาย

 

ใช่ เวลามันผ่านไปเร็วอย่างน่ากลัว และดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดรอใครแม้แต่วินาทีเดียว ชีวิตของเราทั้งชีวิตค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านไปเงียบๆ ทีละน้อยเงียบเชียบในวิธีที่ถ้าเราเผลอ เพียงกระพริบตาทั้งชีวิตมันก็จะผ่านเราไป ถ้าคิดจะทำอะไรก็อย่าลังเลที่จะทำมันวันนี้ ทำมันเดี๋ยวนี้ เพราะกว่าจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ทั้งชีวิตมันอาจจะผ่านเราไปเสียแล้ว และเร็วกว่าที่คิดไม่ต้องสงสัยว่าคงต้องกลับมา Summer Sonic อีกสักหลายๆ ครั้งแน่นอน ถ้ามันเฟสติวัลนี้ยังหนังเหนียวไปจนถึงรุ่นหลาน ปู่กับพ่อมันคงได้มีเรื่องเมาท์กันสนุก และเถียงกันต่อไปอีกได้ว่าควรจะไปดูวงไหนก่อนกันดีในวันนี้

 

Text : Duangrit Bunnag

Photography : Narit Bunnag and Duangrit Bunnag

 

The Summer Sonic is an annual rock festival in Japan. Reaching the 18th

anniversary this year, it boasts an

impressive line-up that would satisfy

the appetites of many generations. And it’s the reason why I find myself in Chiba, wearing flip-flops and rocking my head

to the beat of Tom Misch.

 

Then I begin to have a few revelations.

 

First, Noel Gallagher is still every bit

marvelous despite the obvious signs of aging. I’m gazing at his grey hair and wrinkled face, not really listening to the blasting tune from the stage, when my son says he doesn’t want to miss seeing Tame Impala. At a far distance, I hear the song Don’t Look Back In Anger and wonder whether it’s really on or I’m merely dreaming.

 

My second revelation comes when

I watch Beck’s performance. I realize that – strangely – I’m beginning to understand, and enjoy, this artist so much more, just from staring at him in a sequin suit and a hat, playing an old guitar.

 

Among the best newcomers this year are Polkadot Stingray and My First Story from Japan. Polkadot Stingray’s lead singer is a tiny teenager who switches back and forth between singing her heart out and mumbling words of self-reflections. My First Story comes out with a fierce and fiery performance, exuding a sense

of youth and recklessness.

 

My last revelation at The Summer Sonic is the fact that Paramore has been around for 14 years! I still remember how I fell for their music – a mix of pop punk and grunge that reminded me of Cyndi Lauper and

No Doubt. It’s somewhat alarming how time flies. All of a sudden you realize your life has been creeping ahead bit by bit, whether you notice

it or not.

 

Better start living today.

AP HONDA LAUNCHES 4 MODELS @MOTOR SHOW 2017

IMG_1489
ฮอนด้าทุ่มงบ ล้านบาท พัฒนารถต้นแบบ Honda 150SS Racer สุดยอดยนตกรรมที่ผสานความเท่ร่ว มสมัยสไตล์โมเดิร์นคาเฟ่เรเซอร์ จัดเต็มเปิดตัวรถโมเดลใหม่พร้อม กัน 4 รุ่นในงานมอเตอร์โชว์ 2017
บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้ าในประเทศไทย เนรมิตพื้นที่บูธในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2017 ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึงวันที่ เมษายน 2560 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี ภายใต้คอนเซ็ปต์ Honda Hub of Lifester ศูนย์รวมแรงบันดาลใจของเหล่าไบค์ เกอร์ที่ต้องการออกแบบไลฟ์สไตล์ ด้วยตัวเอง เปิดตัวรถต้นแบบที่ผสานความเท่ร่ วมสมัยสไตล์โมเดิร์นคาเฟ่เรเซอร์ ได้อย่างลงตัวกับ Honda 150SS Racer  ที่ใช้งบประมาณการพัฒนากว่า ล้านบาท พร้อมนำเสนอช็อปรูปแบบใหม่ที่จะ มาสร้างคุณค่าและวัฒนธรรมการขั บขี่ใหม่ๆ ให้กับตลาดรถจักรยานยนต์ในประเท ศไทยกับ  C.U.B. House ช้อปที่ให้คุณได้ออกแบบไลฟ์สไตล์ การใช้รถด้วยตัวเอง พร้อมยกทัพรถโมเดลใหม่แบบจัดเต็ ม อาทิ All New Honda Scoopy i , All New Honda CBR1000RRHonda CB1100 และ Honda X-ADV
HONDA 150SS Racer_รถต้นแบบ
มร.โยอิจิ มิซึทานิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้ าในประเทศไทย เปิดเผยว่า ในฐานะที่ฮอนด้าเป็นผู้นำแห่งวง การรถจักรยานยนต์ไทยมาอย่างยาวน านถึง 28 ปีซ้อน และบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่ต้องการพัฒนาและ ผลิตรถจักรยานยนต์เพื่อตอบสนองไ ลฟ์ไตล์ใหม่ๆ อยู่ตลอด ดังนั้น จึงไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาและนำเส นอนวัตกรรมใหม่ตามที่ประจักษ์สู่ สายตาผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างต่ อเนื่อง
3CB1100_RH_YEL_Studio_2017_ORIGINAL
จากความต้องการของผู้ใช้รถจักร ยานยนต์ในประเทศไทยที่มีความเปลี่ ยนแปลงไปตามสมัยนิยม แต่เดิมที่ใช้รถในชีวิตประจำวัน สู่การขับขี่ในเชิงสันทนาการและ ต่อยอดสู่รูปแบบการใช้งานที่ หลากหลายมากขึ้น ในงานมอเตอร์โชว์ปีนี้ เราจึงออกแบบและสร้างบูธภายใต้ค อนเซ็ปต์ Honda Hub of Lifester หรือศูนย์รวมของผู้ที่รักการใช้ ชิวิตในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้วจะได้สัมผัส ประสบการณ์ใหม่ในแบบที่ตัวเองชื่ นชอบ
CBR1000RR_Fireblade_SP1_RFQstand_2017_ORIGINAL
นอกจากนี้เรายังได้จำลอง New Concept Store ร้านมอเตอร์ไซค์รูปแบบใหม่ครั้ง แรกในประเทศไทย ซึ่งจะเปิดตัวเร็วๆนี้ภายใต้ชื่ อ C.U.B. House (คับ เฮ้าส์) โดยมีแนวคิดให้ช้อปแห่งนี้เป็น House of Creation ที่ไม่ใช่แค่ร้านจำหน่ายมอเตอร์ ไซค์ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าสา มารถเข้ามามีส่วนร่วม ออกแบบไลฟ์สไตล์ของตัวเองกับฮอน ด้าได้อีกด้วย
ในส่วนของการจัดแสดงรถจักรยานยน ต์ไฮไลท์สำคัญของงาน ได้แก่ รถต้นแบบ Honda 150SS Racer คิดค้นโดยทีมวิจัยและพัฒนา ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี ประเทศไทย ภายใต้แนวคิด Street Sport Racing รวมความเท่และร่วมสมัยในสไตล์ Modern Café Racer ผสานความเร็ว แรง และปราดเปรียวจากสนามแข่งสู่สุด ยอดแรงบันดาลใจแห่งการขับขี่ในโ ลกอนาคต
ตามด้วยการเปิดตัวโมเดลใหม่ All New Honda Scoopy i รถ เอ.ที.ยอดนิยมของคนไทยที่ได้รับ การออกแบบใหม่ในสไตล์มินิมอล นำเทรนด์ด้วยฮอนด้าสมาร์ทเทคโนโ ลยี เครื่องยนต์ eSP ขนาด 110 ซีซี. 4 จังหวะ ระบบหัวฉีด PGM Fi ระบายความร้อนด้วยอากาศ ระบบหยุดเครื่องยนต์อัจฉริยะ (idling stop system) เทคโนโลยีกระจายแรงเบรค (Combi Brake system)และครั้งแรกของรถจักรยานยนต์กับ ฟั่งก์ชั่นใหม่ ไฟแจ้งเตือน Eco Mode เมื่อเข้าสู่โหมดการขับขี่แบบปร ะยัดน้ำมัน โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED Projector แบบ Ring Light ไฟท้ายแบบบิ้วท์อินติดตั้งไฟเลี้ยวในตัว เพิ่มที่ชาร์จ AC Socket ใต้คอนโซลหน้า และพื้นที่เก็บของใต้เบาะ U- box แบบจุใจถึง 15.4 ลิตร ราคาแนะนำเริ่มต้นโดยประมาณที่ 51,100 บาทในรุ่น Club 12, 48,600 ในรุ่น Prestige และ 48,100 ในรุ่น Urban team
ขณะที่กลุ่มรถจักรยานยนต์ขนาดให ญ่หรือบิ๊กไบค์ นำทัพโดย รถจักรยานยนต์อเนกประสงค์  New Honda X-ADV ที่ได้รับการพัฒนามาจากแนวคิด Go Everywhere with Excited feeling พกพาคุณสมบัติเด่นด้วยเครื่องยน ต์ 4 จังหวะ 2 สูบ ขนาด 750 ซีซี. พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีการส่งกำลั งด้วยระบบ DCT แบบคลัตซ์คู่ สามารถตอบสนองการใช้งานทั้งในเมื องและนอกเมือง ตลอดจนรูปแบบออนโร้ดหรือออฟโร้ด เปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายเป็นครั้ งแรก ราคา 415,000 บาท 
 
 ถัดมาเป็นการเปิดตัวคลาสสิกไบค์ ระดับตำนาน All New Honda CB1100 เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 1,140 ซีซี. โมเดลล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในต่ างประเทศ ซึ่งเป็นโฉมที่ได้รับการพัฒนาด้ านรูปลักษณ์ให้มีความสปอร์ตยิ่ง ขึ้น จากถังน้ำมันดีไซน์ใหม่ที่มีควา มปราดเปรียว ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED เช่นเดียวกับสมรรถนะการควบคุมที่ดีขึ้น จากการรีดน้ำหนักตัวรถโดยรวมที่ ลดลง 5 กิโลกรัม พร้อมกับการลดแรงบีบคลัทช์ลง 16% ช่วยให้ขับขี่ง่ายขึ้น พร้อมวางจำหน่ายราคาพิเศษเฉพาะช่ วงเปิดตัว โดยมี รุ่นให้เลือก CB1100EX ราคา 549,000 และรุ่นใหม่ CB1100RS ราคา 559,000 บาท 
 
สำหรับอีกหนึ่งรุ่นสำคัญ คือ All New Honda CBR1000RR ซูเปอร์สปอร์ตไบค์ที่ถ่ายทอดเทค โนโลยีจากสนามแข่งสู่การขับขี่ บนท้องถนน ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยน ต์ 4 สูบเรียง ขนาด 1,000 ซีซี. ได้รับการออกแบบให้มีน้ำหนักเบา มีอัตราส่วนกำลังอัดที่ 13.0 สามารถทำกำลังสูงสุดได้ 141 กิโลวัตต์ที่ 13,000 รอบต่อนาที พร้อมวางจำหน่าย ราคา 643,000 บาท รวมถึงยังมีเวอร์ชั่น SP ซึ่งเป็นรุ่นท็อปที่อัพเกรดสมรร ถนะเทียบเท่ารถที่ใช้ในการแข่ งขัน จัดแสดงพร้อมวางจำหน่ายในประเทศ ไทยเป็นครั้งแรก ราคา 779,000 บาท 
 ขณะเดียวกันฮอนด้ายังจัดแสดงรถ ที่จะใช้ลงทำการแข่งขัน รายการ Suzuka 4 Hrs Endurance ตามที่เคยประกาศนโยบายมอเตอร์สป อร์ตประจำปี 2017 ไปแล้วว่า ต้องการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทั้ง นักแข่งและทีมช่างโค้ชรวมถึงสมา ชิกในทีมแข่งอย่างเป็นระบบ เพื่อก้าวสู่รายการแข่งขันระดับ โลก และยังได้ผสานความร่วมมือกับ Kushitani แบรนด์ผู้เชี่ยวชาญการผลิตชุดเร ซซิ่งสูทในการออกแบบชุดแข่งให้ กับทีม A.P. Honda Racing Thailand สำหรับลงชิงชัยในเกมการแข่งขันที่ ทรหดที่สุดรายการนี้อีกด้วย
ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมบูธรถจั กรยานยนต์ฮอนด้าได้ที่บูธ M4 ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2017 ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม ถึงวันที่ เมษายน 2560 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.aphonda.co.th และ www.face book.com/hondamotorcyclethaila nd และฮอนด้าบิ๊กไบค์ https://www.facebook.com/Honda BigBikeTH

ช่างชุ่ย | ChangChui

ตอนแรกมีแต่คนมาชวนทำคอนโด เพราะรถไฟฟ้ากำลังมา ทุกอย่างมันมาหมด เราก็มีความรู้สึกว่าถ้าทำอย่างนั้นมันก็ทำได้แต่… ถามว่าเรามีเงินเยอะจนถึงจุดที่มันเกินความจำเป็นแล้ว มันใช่ความสุขที่แท้จริงรึเปล่า เราก็มาถกเถียงกับใจของเรา ที่สุดเราก็บอกว่า เฮ้ยยังไงเราก็มีตังอ่ะ เราอาจจะไม่ได้มีตังเป็นระดับต้นๆ แบบเป็น celebrity หรืออะไร แต่เราก็ถือว่าเราอยู่ได้แล้ว ฉะนั้นวันนี้เราอยากจะเห็นความรู้สึกความเชื่อของเรา จิตสำนึกที่เราอยากจะลองทำอะไรซักอย่างนึงเพื่อให้มันเกิดประโยชน์ต่อสังคมเนี่ยมันจะเป็นยังไง มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้น บ้านเมืองเรามันก็เห็นอยู่ว่ามันมีความหลากหลาย และมันก็มีทั้งเรื่องที่เข้าใจได้และเข้าใจไม่ได้ และบางครั้งถึงมันจะเข้าใจได้แต่มันก็รู้สึกอลม่าน เราก็คิดว่าถ้าเราไปสนใจมันมากเราก็จะลืมว่าชีวิตเราจะทำอะไร เราควรกลับมาคิดว่าจะทำอะไรต่างหาก มันน่าจะดีกว่า ถ้าเรามัวแต่ทำไมคนนี้ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วตัวเราล่ะ คุณจะเป็นใครล่ะ ถ้าคุณจะเป็นคุณก็เป็นเหอะ คุณไม่ต้องรอว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก่อน แล้วคุณค่อยเป็นที่คุณอยากจะเป็น คุณก็เป็นไปเลยสิ ส่วนที่มันทำแล้วมีประโยชน์ ก็ถือเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งเราเชื่อและเราทำมันมีส่วนที่ถูกต้อง แต่ถ้าเราเชื่อและทำแล้วมันไม่ใช่ มันผิด ก็ไม่เห็นเป็นอะไร มันก็ยังมีแรงที่จะคิดต่อว่ามีอะไรบ้างที่มันไม่ถูกต้อง ก็แก้ไขมันเสีย แล้วเวลานี้มันก็อยู่ในวันที่เราก็ผ่านอะไรมาเยอะ ผ่านการช่วยเหลือในหน่วยงานภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน ก็ทำมาเยอะ แล้วก็ทำธุรกิจของตัวเองมาก็ 35 ปีแล้ว วันนี้ก็ 57 เราก็ยังมีแรงอยู่ ยังมีพลังอยู่ ยังปั่นจักรยานแบบร้อยสองร้อยกิโลได้อยู่ เราก็คิดว่าเฮ้ยเวลาผ่านแปบเดียวผ่านไปอีก 5 ปีมันก็จะเริ่มถอยละ ทำอะไรดีกว่า เมื่อตัดสินใจปุ้บก็ลงมือทำทันที
– สมชัย ส่งวัฒนา

IMG_5129

ช่างชุ่ย สื่อสารและเปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่

ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่งอะไรมากมาย แต่พอเรามาถึงจุดนี้ เราก็หันกลับไปมองว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง เรารู้สึกอะไร เราค้นพบว่าเราเป็นคนไทยที่รักประเทศนี้ มีความภูมิใจในแผ่นดินนี้ในความเป็นคนไทย สักวันนึงเราน่าจะเป็นคนไทยที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศแล้วก็ในระดับสากลให้ได้ นี่เป็นสภาวะของจิตที่มันถูกปลูกฝังมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นก็จะเป็นคนที่ทำงานค่อนข้างเข้มข้น แล้วก็ไม่ค่อยกลัวอุปสรรคที่ผ่านพ้นมา อย่างพี่เนี่ยโตมาในยุคของ baby boom เป็นผลผลิตของสงครามโลก พ่อแม่ก็เลี้ยงลูกด้วยความรู้สึกว่าเด็กยุคนี้ต้องอดทนน่ะ แต่ gen หลังๆ เนี่ยเด็กไม่ได้โตอย่างพี่แล้ว ฉะนั้นระบบความคิดความอ่านเนี่ยมันไม่เหมือนกัน ของเรามันเป็นพวก Perception Learning แต่คนรุ่นใหม่เนี่ยเค้า Learning จากโลกที่อยู่ในอากาศ ซึ่งเราเชื่อว่าปัญญาของคนเนี่ยมันคือทุนที่น่าสนใจ เราเห็นคนที่สร้างชื่อเสียงในระดับ world class เนี่ย เค้าไม่ได้เริ่มจากที่เค้าเป็นเศรษฐี แต่เค้าเริ่มจากแนวคิดอะไรบางอย่างที่เขาคิดขึ้นมาได้แล้วก็ทำมัน เค้าสร้างปรากฎการณ์อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ เราก็มีความเชื่อนะว่าศักยภาพของคนไทยในคนรุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่เล็กกว่า gen x เล็กกว่า gen y เนี่ย เค้าเก่ง เราก็เป็นผู้ใหญ่ที่พยายามจะเชื่อมโยง พยายามจะมองว่าไม่ว่าคนจะอายุเท่าไหร่เนี่ย เค้ามีคุณค่าควรค่าแก่การศึกษาหมด ข้อดีคือเราไม่แก่ ไม่ว่าอายุเราจะขับเคลื่อนไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่เราก็สามารถที่จะคุยกับน้องๆ แล้วเราก็เชื่อว่าสำนึกของเราในบางเรื่องเนี่ยคงเป็นโครงสร้าง แต่มุมมองของความใหม่ที่สังคมและโลกใบนี้ต้องการเนี่ย ผมคิดว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ อาจจะสดกว่าเราด้วยซ้ำ ไอ้ความสำนึกตรงเนี้ยเราก็เลยคิดว่าจะทำยังไงดี เราก็เลยคิดว่าควรจะมีพื้นที่ซักแห่งนึงที่เราจะลองดูว่าถ้าเราเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ซึ่งอาจจะเริ่มจบการศึกษา เริ่มสนใจอยากทำมาหากิน สมัยนี้เด็กก็ไม่อยากเข้าออฟฟิศ อยากมีอาชีพอิสระ เราก็ว่ามันน่าจะดีนะ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าที่นี่จะต้องลงทุนเท่านั้นเท่านี้ คุณพอมีทุนคุณก็อยู่ในระดับที่เราจะจัดสรรสถานที่ให้ พูดง่ายๆ คือคนที่เงินไม่ถึงพันก็ทำธุรกิจได้ หลักหมื่นก็ได้ หรือจะมากกว่านั้นเราก็ต้อนรับ แต่ว่าเราต้องขอดูว่าแนวความคิดของเค้าในการที่เค้าจะเข้าร่วมเนี่ยมันตรงกับความคิดที่มันจะมาช่วยรังสรรค์ให้ช่างชุ่ยเนี่ยมันมีชีวิตชีวาขึ้นได้รึเปล่า ฉะนั้นเราสนทนากับทุกคนที่มาที่นี่

ที่มาของพื้นที่ตรงนี้ ก่อนจะมาเป็นช่างชุ่ย

ความคิดเดิมเนี่ย คือผมเป็นภูมิแพ้ ผมจะหลีกเลี่ยงการอยู่แอร์ ถ้าผมจะต้องไปอยู่ตึกที่ไหนสักแห่งแล้วผมต้องอยู่ที่นั่นตลอดเนี่ย ผมจะรู้สึกไม่สบายตัว ผมก็เลยคิดว่าวันนึงผมจะทำตรงนี้ ที่ที่มันก็กำลังจะกลายเป็นเมืองที่มีแต่ตึกรามบ้านช่องสูงเต็มไปหมด ว่าถ้าผมปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ แบบต้นละร้อยปี กระหน่ำเลยซักร้อยสอยร้อยต้น ปลูกต้นที่มันหายากๆ และท้าทาย แล้วเราจะทำออฟฟิศขึ้นมาแบบอยู่ใจกลาง ทุกคนมีพื้นที่อิสระ ไม่จำกัดว่าจะนั่งทำงานตรงไหน เรามีคอมให้เรี่ยราดไปหมด ทำงานแล้วก็เลื้อยไปได้เรื่อยๆ เลย อาคารมันมีต้นไม้เกาะไปหมด แค่คิดมันก็สนุกแล้ว ก็เลยจะทำแบบนั้น ..วันนึงไปนั่งร้านอาหารตามสั่งในซอย คนทำกับข้าวร้านแถวนั้นเค้าก็บอกว่า คุณลิ้มอย่าย้ายนะ ถ้าย้ายแล้วที่นี่จะเหงา เราเป็นเพื่อนบ้านกันนะ อย่าไปไหน พอได้ยินคำพูดนี้มันก็รู้สึกว่า เราอยู่ในฐานะผู้อยู่ใหม่จนวันนี้มันเกิดระบบสังคมที่เด็กของเราสองสามร้อยคนใช้จ่ายวันละร้อยสองร้อยบาทที่นี่ มันเกิดระบบที่ทำให้ทุกคนยืนอยู่ได้แล้ว และถ้าเราย้ายไปอาชีพเค้าก็หมดไป แววตาของเค้าเป็นแววตาที่ทำให้ผมรู้สึก… มันไม่ถึงกับวิงวอนนะ แต่มันเป็นความรู้สึกว่าเรามีไมตรีจิตต่อกันน่ะ ผมก็เลยคิดใหม่ งั้นก็เอาตึกแถวนี้แหละ ผมก็ไล่ซื้อตอนนี้ซัก 10-15 ยูนิต ทั้งต่อและไม่ต่อ ผมก็จะลองปลูกต้นไม้ในตึกแถวว่ามันเป็นยังไง ผมคิดว่าสองคูหาเนี่ยผมถล่มเลย (ผมยังไม่ได้ทำนะ) แต่ผมคิดว่าถ้ามันต้องเป็นแบบนั้น ก็ทำตรงนั้นสิ คุณอยากปลูกต้นไม้คุณก็ปลูกเลย ก็แค่ทุบตึกแล้วเอาต้นไม้ไปใส่แล้วก็ทำกระจกคลุมซะเลย จริงอยู่ว่าอาจจะไม่ได้ร้อยต้นหรอก แต่มันก็ยังมีต้นเล็กๆ ที่ปลูกได้ พอคิดได้แบบนี้ มันก็ไม่มีเรื่องที่จะต้องอาลัยอาวรณ์กับที่แปลงนี้ละว่าต้องทำออฟฟิศ ที่สุดก็ตัดสินใจว่ามันต้องกลายเป็นที่สาธารณะ แรกๆ ก็จะเอาเท่ คิดว่าจะทำเป็น Park เลย เอ้า! แล้วจะเอาเงินที่ไหนวะ ก็เลยเอางี้ เอาแบบกึ่งๆ ก็แล้วกัน ที่นี่มันเป็นพื้นที่กึ่งธุรกิจ กึ่งสวน เป็นสวนที่จะทำให้คนรู้สึกว่ามันทำมาหากินได้ มาเยือนได้ มาเรียงร้อยขบวนความคิดได้ โมเดลของที่นี่ก็ใหญ่พอสมควร ถ้าขาดทุนอยู่ไม่ได้ก็อายเขา จะอยู่ที่นี่แบบร่ำรวยเป็นเศรษฐีมันก็ไม่ได้หรอก เพราะโครงสร้างมันหาเงินได้ไม่เยอะ และตึกซะส่วนใหญ่ก็บริจาคไปแล้ว ก็หวังว่าให้พออยู่ได้ แล้วถ้าธุรกิจมันได้กำไรเราก็แบ่งปันกัน เราเชื่อว่าที่นี่จะเป็นที่ๆ ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ และให้พี่ๆมีโอกาสมาเชื่อมโยงและเชื่อมตำนานกัน คนเก่าเจอคนเก่าก็จะคุยแต่เรื่องเก่าๆ แต่ถ้าคนเก่าเจอคนใหม่ในที่ใหม่ พี่ว่ามันคงจะมีคนทะเลาะกันบ้างแต่ก็จะได้กลับไปคิด ที่นี่อาจจะทำให้คนคิดว่า เอ้อทำไมเราเพิ่งมาเจอกันIMG_4717
คอนเซ็ปและโครงสร้างจากของเหลือใช้ กับ รากที่มาจากคำว่า Nothing is Useless ไม่มีอะไรที่ไร้ค่า

คือพี่เป็นคนนับถือ construction แต่พี่ก็ชอบทำลายมันมากที่สุด พี่ต้องค้นให้รู้ว่ารากของสิ่งนั้นคืออะไร เพราถ้าเราทำแบบไม่รู้ว่า construction นั้นมันคืออะไรเท่ากับตายหยังเขียด การที่คุณจะออกมานอกกรอบคุณต้องรู้ว่ามันดีกว่าในกรอบยังไง คือถ้าแม่งไม่ดีกว่าแล้วออกไปทำไม เราต้องรู้ว่าเบสิคของมันอยู่ตรงไหน โครงสร้างของมันอยู่ตรงไหนให้แม่นก่อน เมื่อแม่นแล้วมันจะสนุกตอนที่คุณโดดออกมา ที่นี่ถูกสร้างมาเป็น construct แต่มันมีการถูกทำลายเป็นระยะๆ คือถ้าเสาเข็มคุณดี พื้นฐานแน่น จากนี้จะสร้างต่อเติมอะไรประหลาดๆ แล้วเนี่ย ยังไงมันก็ไม่ล้ม แต่ถ้าฐานคุณไม่แน่นแล้วใส่อะไรประหลาดๆ ลงไปยังไงมันก็โค่น พี่เป็นคนทบทวนเรื่องแบบนี้เสมอ ภาษาพี่คือรากสู่ใบ-ใบสู่ราก คนส่วนใหญ่มันอยู่ในบริโภคนิยมอ่ะ มันซื้ออย่างเดียวโดยไม่สนใจว่ารากมันเป็นยังไง แต่ประเทศที่เค้าไปถึงจุดนึง เค้าสนใจว่ารากมันมายังไงต่างหาก วิธีการทำงานสำหรับช่างชุ่ยเลยเป็นว่าผมพยายามจะหลีกเลี่ยงวิธีการก่อสร้าง วิธีการทำงานที่มันอยู่ในแผนภูมิเดิมๆ เดี๋ยวนี้ต้องบอกว่าโลกมันเหมือนกันหมดน่ะ แล้วเราจะทำยังไงล่ะที่อย่างน้อยตัวอาคารคุณมันก็ยังเตือนใจเราว่าจริงๆ มั้ยที่ว่าคุณไม่มีเงินแล้วชีวิตคุณอยู่ไม่ได้ จริงๆ มั้ยว่าคุณต้องร่ำรวยมหาศาล เราคิดว่าไม่จริงอ่ะ เราสามารถทำอะไรก็ได้ถ้าเรามีปัญญา ..อย่างเหล็กดัดเนี่ยเค้ากำลังจะเอาเข้าโรงหลอมอยู่แล้ว อายุ 60-70 ปี เป็นแบบ super complicate เลยนะ แล้วเราคิดว่าเค้าจะต้องเข้าไปอยู่ในเตาหลอมกลายเป็นเหล็กราคากิโลละ 10-20 บาท ช่างที่ดัดก็คงเสียชีวิตไปแล้ว จิตวิญญาณของคนที่ทำเนี่ย มันลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ หน้าต่างไม้สักนี่ก็ถูกทิ้ง เราก็มีไปพูดคุยและขอซื้อ เขาก็ถามจะซื้อไปทำไม เราก็ถามว่าแล้วคุณขายใคร เขาก็บอกว่าเค้าก็ขายคนที่จนกว่าชั้นน่ะ เช่น วัดหรือโรงเรียนที่เค้าไม่มีทุน แล้วที่ชั้นขายน่ะชั้นก็ไม่ได้มีกำไรอะไรมากมายหรอกแต่ชั้นก็ถือว่าช่วยเหลือ แล้วคุณเป็นใครขับรถซะดี มาซื้อไปทำไม เราก็บอกว่าผมก็คงจะเอาไปทำอะไรที่ผมอยากทำน่ะ คุณถามผมมากๆ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายคุณยังไง ไว้ว่าถ้าเสร็จแล้วคุณอยากมาคุณก็มา มันก็เลยเป็นที่มาว่าเราพยายามจะดึงของที่มันถูกมองว่าเป็นของด้อยค่ากลับมา เราไม่ได้ใช้เงินเป็นน้ำมัน แต่เราใช้ปัญญาและจิตวิญญาณ ผมใช้ความรู้สึกด้วย ตอนอยู่บ้านนอกได้ยินเสียงฝนตกลงบนแผ่นสังกะสี ไฟนี่ก็อาจจะล้อกับไฟตะเกียง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่มีแล้วแต่ผมเคยรู้สึกและมันโคตรประทับใจเลย แต่สังคมเมืองกำลังสร้างอะไรที่ไม่ใช่แก่นของประเทศนี้ แล้วแก่นของประเทศนี้จริงๆ มันก็ถูกทำลายไปเรื่อยๆ อย่างชนิดว่าถ้าคุณจะเสียดาย คุณจะต้องเสียดายทุกอย่างเลย เพราะทุกอย่างกำลังถูกทำลายทั้งที่คุณรู้และคุณไม่รู้ ก็เลยหวังว่าที่นี่ เราขอเอาของที่คุณจะทำลายแล้วมาสร้างชีวิตใหม่ให้มัน แล้วมันไม่ได้ดูแลง่ายนะ มันดูแลยาก แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะวิถีอย่างนี้คนต่างจังหวัดน่ะ ฝนฟ้าตกโดนน้ำรั่วหน่อยจะเป็นไรไปล่ะ คุณก็หลบมาหน่อย หรือที่นี่อาจจะมีแมลงมีนกเข้ามา ก็เกิดระบบนิเวศน์กันไป เราต้องใส่ springer อีกประมาณสามพันกว่าหัว เพื่อสโมคให้มันชุ่มชื้นหมด เพื่อให้กลางคืนสบาย กลางวันไม่ร้อน แล้วพื้นที่ไหนที่มีต้นไม้ปกคลุมเนี่ยมอสมันก็จะขึ้น แล้วเราก็พยายามหาผู้รู้ที่เข้ามาจัดการเพื่อนำไปสู่การไม่ใช้สารเคมีเลย ใช้วิธีธรรมชาติทั้งหมด ผมหวังไว้เลยว่าจะต้องมีนกพันธุ์ประหลาดๆ มาที่นี่ อีกอย่างที่นี่เป็นสวนกะท้อนเก่าซึ่งเป็นสวนกะท้อนที่ดีที่สุด แล้ววันนี้มันไม่มีแล้ว ผมก็จะปลูกต้นกะท้อนกลับขึ้นมาใหม่ ผมอยากให้รู้ว่าก่อนที่นี่จะกลายเมืองมันคืออะไร ผมจะดีใจมากเลยถ้าวันนึงได้พาต้นไม้เค้ากลับมาอยู่ในอุณหภูมิที่เค้าชอบที่สุด ในดินที่เค้าชอบที่สุด แล้วผมก็พยายามจะแสวงหาเรื่องราวเหล่านี้ ผมจะเอามันกลับมาใหม่IMG_4729ในส่วนของโครงสร้าง การที่ผมไม่ได้จบ architect ไม่ได้จบ interior มันก็เลยทำให้ผมกล้ากว่า แล้วคนที่มาก็จะบอกว่าเฮ้ยคุณลิ้มใจถึงว่ะ คือกล้าทำเงี้ยผมว่าคุณใจถึง ผมก็คิดว่าผมใจถึงอะไรวะ ไม่เห็นจะต้องใจถึงเลย ผมมีความอุตสาหะและก็ดูไปเรื่อยๆ มันก็คือองค์ประกอบศิลป์ขั้นพื้นฐานน่ะ แล้วพอนึกอะไรไม่ออกผมก็นึกถึงงาน Mondriaan ที่มีทั้งแบบ symmetry และไม่ symmetry อะไรอย่างนี้ เราก็เรียงไปก็สนุกอ่ะ และสุดท้ายก็เข้าสู่กระบวนการคิดในเชิงการแก้ปัญหาละ เฮ้ยคุณจะปิดจบยังไง ตรงนี้ขาดต้องเอาสังกะสีมาทด เฮ้ยกระจกได้มาแผ่นแบบนี้จะทดยังไงอะไรแบบนี้ มันอาจจะรู้สึกว่าทั้งหมดดูแตกต่าง แต่จริงๆ แล้วมันก็คืออาคารมินิมอลดีๆ นี่เอง แค่ว่าในความมินิมอลมันมี texture อะไรบางอย่างที่มันน่าสนใจ แล้วจริงๆ มันก็เป็นงานธรรมดาที่สุด งานของชาวบ้านชาวช่องที่ยากจนเหลือเกิน มีคนมาดูแล้วบอกว่าเมื่อไหร่จะทาสี น่าจะทาสีหน่อยนะ ทำไมสังกะสีมันเก่าอย่างนี้ เราก็บอกว่าไม่ทาหรอกครับ คิดว่าสวยแล้ว เขาก็มาบอกว่าเชื่อผมเถอะทาสีแล้วจะสวย ซึ่งเราก็บอกเฮ้ยมันเสร็จแล้ว (หัวเราะ)

ช่างชุ่ยได้รับความร่วมมือจากศิลปิน คนรุ่นใหม่ มากหน้าหลายตา

ผมก็โชคดีที่พอมีเพื่อน พอมีเครดิต คงมองว่าเอ้อก็เป็นคนดี เค้าก็มาช่วยเราอย่างติ้ว (วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์) เค้าก็มาช่วยถ่ายรูป ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ขอรูปไปลงช่างชุ่ยก็บอกได้ครับพี่ถ้ามันมีระโยชน์ หรือพิเชษฐ์ กลั่นชื่นมาก็บอกเดี๋ยวผมจะทำตรงนั้นตรงนี้นะครับ บอย โกสิยพงศ์มาก็บอกว่าผมจะทำ museum in the museum แล้วกัน ผมจะเอาของสะสมยุค 70-80 มาโชว์ แล้วผมจะเอาศิลปิน Love is มาทำอะไรสนุกๆ ด้วย ไอ้ป๊อดมาก็จะทำงานศิลปะ กลายเป็นว่าศิลปินเพลงอยากมาทำงานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเพลง แล้วทุกคนมาก็ไม่ได้บอกว่าผมจะเรียกค่าตัวเท่าไหร่ แต่ทุกคนมาพร้อมกับเรื่องราวของตัวเองที่ยื่นมาว่าผมจะทำแบบเนี้ย คุณลิ้มยอมมั้ย โอเคมั้ย เราก็บอกเอาเลย ที่สุดก็อยากจะตอบคำถามนี้ว่า มันคงเป็นเรื่องของคนที่อยู่ตรงนี้ร่วมกันแหละว่าเค้าอยากจะเห็นอะไร ในอนาคต
IMG_4930
มูลนิธิช่างชุ่ย
ตอนที่ทำช่างชุ่ยเนี่ยคิดไว้ว่าอยากมีมูลนิธิ เราเชื่อว่าที่นี่จะเชื่อมกับโลกทั้งใบ เราต้องยอมรับว่าเรามีสิ่งที่ดีและมีค่าควรทะนุถนอม ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเคารพสิ่งต่างๆ มูลนิธิจะเป็นตัวเชื่อมโยงให้คนมีจิตบริจาาคหรือให้การช่วยเหลือ คือถ้าที่นี่เป็นธุรกิจเพียวๆ แล้วถ้าเขาขอมาสองล้านเหรียญ จะเอาที่ไหนไปจ่ายเค้า แต่ถ้าเราแบบช่วยเถอะเพื่อให้เด็กไทยได้ฟังได้เห็น ถ้าคุณคิดอะไรไม่ออกก็ถือว่าได้ร่วมกันทำบุญแล้วกัน เราคิดว่าถ้ามีมูลนิธิเนี่ยจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น สองถ้าเรามีทุนเราก็อยากจะเปิดโอกาสให้คนที่เค้าจะรังสรรค์งานขึ้นมาใหม่ๆ สร้างความสุนทรีย์ให้กับคนที่นี่หรือประเทศนี้ หรือคนที่จะมาที่นี่ และเพื่อนคนที่เรารู้จักที่ก็ถือว่าเป็นเบอร์ต้นๆ ของโลกนะ เค้าพูดมาคำเดียวเลยยูคิดว่าจะมีคนไทยกี่% ต่างชาติกี่ % เราก็บอกคนไทย 70 ต่างชาติ 30 ตอนเค้าจะขึ้นรถเค้าก็เชคแฮนด์ผมแล้วบอกว่า my friend 50-50 นะมันจะได้เซ็กซี่ เค้าบอกว่ามันจะทำให้กระบวนการเชื่อมโยงเกิดขึ้นได้รวดเร็วมาก ผมก็คิดว่าเค้าพูดถูก แล้วก็หวังว่าที่นี่ที่สุดแล้วมันจะมีคนต่างชาติเข้ามาเยอะ ผมว่ามูลนิธิอาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้คนที่นี่ ถ้าหากจะมีเศรษฐีใจบุญอยากจะบริจาคให้เรา เราก็เปิดโอกาส มันจะเป็นแบบว่าพวกเราที่นี่มีอุดมการณ์ พวกเราปิดกั้นทุนนิยม ผมว่ามันไม่ใช่ ถ้าหากที่นี่จะเข้าตานายก อยากจะให้งบประมาณอะไร เราก็รับสิ ผมว่าถ้าผมสามารถไปเชิญเศรษฐีทั้งไทยและเทศให้มาสนใจที่นี่ได้ เราก็จะมีโอกาสมากขึ้นสำหรับคนที่ไม่มีโอกาส สอง ถ้าภาครัฐเห็นความสำคัญและมาช่วย มันก็จะเปิดโอกาสให้กับคนที่นี่ และโอกาสคืออนาคตของพวกเค้า กำไรของที่นี่คืออนาคต แล้วอนาคตของที่นี่น่ะ… พี่ก็ไม่รู้นะ แต่จิตที่คิดจะรับไม่สุขใจเท่ากับจิตที่คิดจะให้ แล้วพอมีจิตแบบนี้เข้ามาเยอะๆ มันรู้สึกว่านี่มันคือเสน่ห์ของคนไทยและความเป็นไทย ถ้าทำที่นี่สำเร็จไม่สำเร็จก็แก้ไขกันไป ถ้าแก้แล้วก็ไม่สำเร็จจนจำเป็นต้องปิดที่นี่ ก็ปิดมัน ก็ไม่เห็นเป็นไร แต่อย่างน้อยเราก็ฉลาดขึ้น แต่ถ้ามันไปได้แล้วทุกคนมีความสุข เกิดสำนึกและความเชื่อที่เรามีมันเป็นเรื่อง ถูก ขึ้นมาล่ะ พี่ก็จะดีใจกับมันมากเลยเพราะมันก็กลั่นกรองมาจากการเดินทางกว่า 35 ปีของพี่ แล้วที่นี่พี่ก็ทำด้วยความวิริยะอุตสาหะ เพราะมันไม่สามารถกดปุ่มจ่ายเงินแล้วมันมาได้เลย

ในเรื่องราวที่ผ่านมาและมันจะวนกลับไปสู่รุ่นเก่า เพราะผมเชื่อว่าเรื่องที่ใหม่ที่สุดเนี่ย ที่สุดแล้วคุณก็ต้องกลับไปสู่เรื่องที่เก่า และเรื่องที่เก่าน่ะมันเป็นอนาคตที่สุดที่คุณต้องเหลียวแลเค้า ผมแทบไม่เชื่อว่าความคิดแนว avant-garde จะมีจริงเลย ผมแทบจะไม่เชื่อเลย ไม่ว่าต่อให้วันนึงไม่ต้องใช้โทรศัพท์นะ กลายเป็นส่งกระแสจิตเนี่ย ผมก็จะบอกว่าค้าส่งกันมาตั้งนานแล้ว เราอาจเป็นระบบสุริยจักรวาลที่ห่วยแตกที่สุดในระบบที่มีเป็นล้านล้านระบบก็ได้ แล้วเราจะบอกว่าเรากำลังสร้างสิ่งใหม่ได้ยังไง มันแทบจะไม่มีเลย เราก็ยืมกันไปกันมา ดัดแปลงนี่แล้วบอกว่าใหม่
Untitled-2
คุณลิ้มค้นพบอะไรจากการสร้างสรรค์ครั้งนี้
การเดินทางมันพิสูจน์ให้เห็นว่าผมสำนึกอยู่ตลอดว่าประเทศเป็นส่วนหนึ่งของเรา สังคมเป็นส่วนหนึ่งของเรา และเราจึงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านั้น ผมตระหนักนะ ผมบอกได้เลยว่าผมรักประเทศไทย และผมเป็นคนไทย ไม่ว่าใครจะบอกว่ามันดีหรือไม่ดี ชั้นก็จะบอกว่าชั้นเป็นคนไทย วันนี้ถ้าเรามีสำนึกว่าประเทศนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เราต้องช่วยกันดูแล เราจะทำอะไรในหน้าที่ของเราล่ะ ทั้งหมดมันเป็นความเชื่อของผมที่ผมเล่ามาให้ฟังมาทั้งหมด แล้วถ้ามันถูก สิ่งนี้มันก็ควรจะก่อให้เกิดอะไรบางอย่าง เพราะผมเอาประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตการทำงานมาใช้ และเราได้มีโอกาสทำพื้นที่ๆ เป็นอิสระของเรา มันไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่ผมเคยคิดฝันเอาไว้ แต่ถ้ามันจะใช่ซัก 50% มันก็สุขสำหรับผมแล้ว แล้วถ้าปรากฎการณ์นี้ทุกคนช่วยกันทำให้มันถูกต้องขึ้นเรื่อยๆ มันอาจจะเป็นโมเดลที่น้อยนิดนะ แต่มันจะเป็นข้อคิดเห็นที่ใหญ่มากสำหรับสังคมบ้านเมืองของเรา หรือหลายคนในโลกใบนี้ที่ได้มาที่นี่ ทั้งหมดก็คือใช้ประสบการณ์ทั้งหมด บวกกับสำนึกที่ได้ทบทวนมาแล้ว และทำมันออกมาอย่างเต็มกำลังและความสามารถ และไม่เสียดายถ้ามันจะไม่เป็นไปตามที่คิด มีคนถามว่ากลัวเจ๊งมั้ยก็บอกว่าไม่กลัว เพราะตั้งแต่ทำวันแรกก็คิดแล้วว่าถ้าเจ๊งแล้วมันจะเป็นยังไง ก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ทุกคนที่มาที่นี่ก็ต้องดูแลตัวเองนะ คุณต้องดูแลผมด้วยนะ เพราะผมก็ดูแลคุณ ถ้าทำแล้วเหนื่อยผมก็เลิก

ข้อคิดเห็นทั้งหมดเนี่ยมันเป็นแค่ความเชื่อของผม ใครจะเชื่อไม่เชื่อผมพร้อมที่จะถูกว่าอยู่แล้ว เราถือว่าทุกคนต้องเป็นอิสระ และทุกคนต้องมีความเชื่อเป็นของตัวเอง สิ่งที่ผมพูดถ้าคุณเชื่ออะไรคุณก็เขียน คุณไม่เชื่ออะไรก็แย้งได้ตลอด ที่สุดแล้วคนอ่านนี่แหละเค้าก็จะคิดตามเราเอง

“บางครั้งผมก็อยากให้คนที่จะมาอยู่ที่ช่างชุ่ยช่วยกันตอบคำถามเหล่านี้มากกว่า มันจะได้มีความหลากหลาย และความหลากหลายนั่นต่างหากที่จะทำให้ที่นี่เดินทางต่อ ทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้น และความหลากหลายนั้นมันไม่ใช่ของพี่ มันคือของเราทุกคน ส่วนจะรับมุมไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะรับยังไง ที่นี่มันขับเคลื่อนด้วยสมองซีกขวาโดยบาล๊านซ์กับซีกซ้าย ทุกสาขาอาชีพเรามาครอสและอยู่ร่วมกัน”

ตีพิมพ์ครั้งแรกใน The Jam Factory Magazine #Issue25 Feb.-Mar. 2017
https://www.facebook.com/thejamfactorymagazine
อัพเดทจุดวางหนังสือ: http://bit.ly/JamMagDistributionPoints
สมัครสมาชิก: http://bit.ly/JamMagSubscription

Rolling Wild

dsc_3248

 

แค่ชื่อก็ตรงตัวแล้วว่า Rolling Wild ที่ถือกำเนิดโดยกลุ่มคนที่มีแนวคิดแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ อย่าง แชมป์ ชูเกียรติ วงศ์สุวรรณ และ ณัฐ ณัฐพรรณ แย้มแขไข นั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะผลิตงานสารคดีที่เกี่ยวกับธรรมชาติโดยเฉพาะ แต่ความพิเศษ หรือแตกต่างของ Rolling Wild ที่เราบอกไปข้างต้นก็ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะมันอยู่ตรงที่พวกเขาใช้ฟิล์ม 8 มม. ซึ่งเป็นฟิล์มที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีแล็ปในเมืองไทย และไม่มีใครรับล้างมาเป็นตัวสร้างสรรค์ผลงานต่างหากล่ะ!

 

dsc_3279_1

ความหลงใหลในฟิล์ม 8 มม.

แชมป์: สมัยเรียนเราไม่มีตังแล้วอาจารย์ให้ทำา MV อะไรก็ได้ที่ใช้ฟิล์ม ในห้องมีอยู่ 20 คน แบ่งกลุ่มกัน 9 คน 2 กลุ่ม แล้วเหลือเรากับรุ่นพี่ที่ซิ่วอีกคนหนึ่ง กลุ่มเพื่อนๆ รวมเงินกันได้ 4-5 หมื่น เค้าก็มีงบที่จะถ่ายด้วยฟิล์ม 35 มม. เป็นระบบสตูดิโอ อุปกรณ์ครบ อีกกลุ่มนึงเงินน้อยลงมาหน่อยก็เลือกถ่ายด้วยฟิล์ม 16 มม. ส่วนเรากับรุ่นพี่มีกันอยู่ 2 คน งบน้อยก็ต้องใช้ 8 มม. อย่างไม่มีทางเลือก ถ่ายและกำกับ MV กันเอง สมมุติว่าพรุ่งนี้เป็นวันส่งงานเราไปถ่ายเอาวันนี้ เริ่มงานตอน 10 โมง ถ่ายเสร็จมาคิดเรื่องกันตอนเย็น พอมาถึงขั้นตอนเทเลซีน (กระบวนการเปลี่ยนจากฟิล์มให้เป็นไฟล์ดิจิตอล) กลุ่มอื่นเค้าเอาเข้าแล็ปกันได้ แต่ฟิล์ม 8 มม. มันไม่มีแล็ปเทเลซีนในเมืองไทย คือเราลืมคิดเรื่องเทเลซีนไปเลย

dsc_3206

ตอนนั้นแก้ปัญหายังไงกับเรื่องเทเลซีน

แชมป์: มันเป็นการเอาตัวรอด ถ้าไม่ทำาก็ไม่รอด แล้วจะไปพึ่งใครวะ อันนี้คือโจทย์ ไม่มีเงินด้วยก็เลยต้องหาวิธีประดิษฐ์ และทดลองกันไป

 

ผลลัพธ์ที่ออกมา

แชมป์: ชอบมาก ตอนนั้นล้างเป็นครอสโพรเซส เราใช้ฟิล์มยูนิเวอร์แซลล้างน้ำายาสี คืองานทดลองแบบนี้ ตัวชิ้นงานที่ออกมามันก็จะไม่ปกติอยู่แล้ว คือมีภาพขึ้น แต่จะได้เอฟเฟกต์ประหลาดๆ เราว่ามันมันส์ดี อันนั้นส่งประกวดด้วย คืออาจารย์บังคับให้ส่งประกวดทุกกลุ่ม

นัท: ส่งประกวด MV ของ Channel V

แชมป์: ของเราเข้ารอบ 10 ทีม สุดท้าย เป็นทีมเดียวที่ใช้ฟิล์ม 8 มม. คนก็ฮือฮากัน

 

เลยส่งผลให้เราคลุกคลีกับฟิล์มจนมาถึงวันนี้

แชมป์: มันเป็นผลพวงมา เพราะหลังจากงานชิ้นนั้นเราก็ไม่ค่อยได้สัมผัสกับงาน 8 มม. เท่าไหร่ ยุคนั้นใครจะมีตังซื้อฟิล์มวะ ตอนเรียนเรารับจ้างล้างฟิล์มใช้น้ำยาที่โรงเรียนนั่นแหละ แต่มีเพื่อนที่ขี้เกียจออกแรงเลยมาจ้างเราล้าง พอเรายิ่งล้างมันก็ยิ่งได้ประสบการณ์ เราทำจนเราพอจะควบคุม หรือเข้าใจว่าวิธีแบบไหนจะได้เอฟเฟกต์ยังไง อันนั้นเกิดจากที่เราได้ทำาบ่อยๆ อันนี้เราหมายถึงการล้างภาพนิ่งนะ จริงๆ ไม่มีใครถ่าย 8 มม. ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว

dsc_3192

Rolling Wild

นัท: มันเริ่มมาจากพี่มนต์ (ปฐมพล เทศประทีป) เค้าเป็นคนทำหนังที่ค่อนข้างมุ่งเน้นด้านศิลปะด้วย คือเค้ามีโปรเจกต์ที่ต้องการจะฉายงานที่หอศิลป์กรุงเทพฯ มีงานของศิลปินหลายคนของพี่มนต์เป็นหนึ่งในโปรแกรมนั้น เค้าอยากถ่ายฟิล์ม 8 มม. พี่มนต์เค้าไปหาที่ล้างก็เลยรู้ว่าในเมืองไทยมันไม่มี พอดีเค้ารู้จักกับแชมป์อยู่แล้วเค้าเลยนึกถึงแชมป์ขึ้นมา

แชมป์: ตอนที่เราช่วยอาจารย์ล้างฟิล์มก็ยังมีคนส่ง 8 มม. มาล้างบ้าง แต่อาจารย์ไม่ล้างเพราะมันเป็นเครื่อง 16 มม. แรงดึงมันเยอะ ถ้าร้อยเอา 8 มม. เข้าไป

มันมีโอกาสสูงที่จะฟิล์มหัก ถ้าเป็นแบบนั้นกระบวนการทำทุกอย่างจะมีปัญหา

นัท: พี่มนต์รู้ว่าแชมป์ล้างเป็น และอยากล้าง เค้าเลยโทรมาคุยว่าเค้ามีโปรเจกต์น่าสนใจ ตัวแชมป์อ่ะสนใจอยู่แล้ว แต่ก็บอกเค้าไปว่ามันมีความเสี่ยงนะ เพราะถ้า

ไม่ได้ทำในระบบของแล็ป ผลงานที่ออกมามันก็จะไม่เป๊ะ

แชมป์: เราบอกว่าเราไม่รู้ว่าภาพจะออกมาเป็นยังไง แต่เราล้างให้เกิดภาพได้ด้วยกระบวนการที่เรามี

นัท: สรุปก็คือลองทำกันดู พี่มนต์ก็มาช่วยพวกเราทดลองด้วย

แชมป์: ล้างฟิล์ม 8 มม. 40 ม้วน จำานวนดูไม่เท่าไหร่นะ พอทำจริงๆ ก็เป็นเดือน ทำเต็มที่ตื่นมาล้างตั้งแต่ 8 โมง จนถึง 2 ทุ่ม ก็ได้แค่วันละ 4 ม้วน

 

ผลงานได้ไปฉายที่ไหนบ้าง

นัท: ‘Endless, Nameless’ ร่วมแสดงที่หอศิลป์กรุงเทพฯ ก่อนเลย แล้วก็ได้ไปตาม Film Festival ที่ลอนดอน

 

ผลตอบรับ

นัท: เราไม่รู้ผลตอบรับจากที่อื่น แต่กับการทำงานให้พี่มนต์ เค้าโอเคกับการที่ได้ทดลองไปด้วยกัน เราว่านั่นโอเคแล้วสำหรับเรา

 

หลังจากโปรเจกต์นั้น

นัท: มีน้องนิสิตนิเทศศิลป์จุฬาฯ กำลังทำทีสิสจบเป็นinstallation มันมีหลายอย่าง แล้วเค้าอยากได้ช่องนึงเป็นฟิล์มเหมือนเป็นภาพในหน้าต่างแทนความฝัน น้องเค้าติดต่อมาว่ารับล้างฟิล์มรึป่าว เค้าถ่ายเสร็จแล้วอยากให้ล้าง คืองานค่อนข้างเร่ง เหลือเวลาอีก 2-3 อาทิตย์ต้องแสดงงานแล้ว ซึ่งงานนี้น้องเค้าถ่ายมาเป็น

ยูนิเวอร์แซล แต่น้ำยาที่เรามีมันเป็นเนกาทีฟ แชมป์เลยคุยกับน้องดูว่าลองครอสโพรเซสมั้ย จะได้ไม่ต้องหาซื้อน้ำยาใหม่ ไม่งั้นจะเสียเวลาไปอีก น้องก็โอเค เราก็ทำให้เลย

dsc_3133

เราสนใจอุปกรณ์แต่ละชิ้นของ Rolling Wild

แชมป์: มีสองอย่างที่ซื้อมา แท้งค์ล้างที่บิดมาจาก eBay ขั้นตอนการล้างจะใช้ตัวนี้ทำหมดเลย แล้วก็มีตัวตัดต่อที่ซื้อมา อันนี้ได้มาจาการไปทำเทเลซีนกับเค้า ส่วนที่ทำเองจะเป็นที่ตากฟิล์ม ทำจากล้อจักรยานผสมกับราวตากผ้า

นัท: หลักการมันคืออะไรก็ได้ให้เป็นที่ตากและหมุนได้ พอมันหมุนได้มันก็จะรันฟิล์มไป

แชมป์: ไอเดียมันมาจากล้อตากฟิล์มที่เราเคยเห็นมันมีรูปทรงคล้ายๆ แบบนี้ พอเราเห็นล้อจักรยานกับราวตากผ้า มันก็ลงตัวเลย คือมันเข้ากันไง อันนี้มันรับใช้

เราได้ดีมาก นอกจากนั้นก็เป็นพวกถ้วยถังกะละมังหม้อ

นัท: เหมือนโปรเจกต์พี่มนต์เป็นงานศิลปะ แล้วเค้าไม่ได้มีต้นทุนเยอะ เราก็อยากช่วยให้เต็มที่

แชมป์: แค่ซื้อแท้งค์เงินก็หมดแล้ว

 

ที่กำลังทำอยู่นี่มันไม่ได้สร้างรายได้

แชมป์: มันจะสร้างอะไรได้

นัท: อย่างโปรเจกต์หนังก็ได้เงินนะ แต่เหมือนเราร่วมกันทำผลงานศิลปะมากกว่า เงินเลยจะถูกใช้ไปกับค่าอุปกรณ์

 

Writer : Mintra Ruengsakvichit
Photographer : Tanapol Kaewpring
Special Thanks : Rolling Wild / Chukiat Wongsuwan / Nuttaphan Yamkhaekhai

 

Jay’s Paper


การวาดภาพเป็นวิธีการใช้กระบวนการทางความคิดอย่างหนึ่ง โดยมีปากกาเป็นอุปกรณ์ส่งผ่านความคิด แจนคิดว่าการวาดภาพเป็นส่วนผสมระหว่างการใช้สมองในการคิดงานให้มีรูปแบบและ message ที่น่าสนใจ กับการใช้ความชำานาญจากทักษะฝีมือ โดยมีอารมณ์ ความรู้สึกเป็นแรงผลักในการสร้างงาน

 

เวลาที่ปลายดินสอจรดลงบนกระดาษ ในใจคิดอะไรบ้าง?

แจนคงแยกตอบเป็นสองส่วน คือ ช่วงจรดคิด กับ ช่วงจรดทำ

จังหวะที่ต้องคิดก็คิดก่อน โดยมากการทำงานของแจนมักจะเริ่มจากเอา opinion หรืออารมณ์ที่เรารู้สึกรุนแรงชัดเจนกับเหตุการณ์ต่างๆรอบตัวมาทำความเข้าใจ แล้วร่างภาพคร่าวๆ ที่สามารถสื่อถึง message ที่เราต้องการออกมา คุยกับตัวเองผ่านปากกาและกระดาษว่าเรามีความเข้าใจและคิดเห็นต่อเหตุการณ์ คน หรือ สถานที่นั้นอย่างไร พอได้ภาพคร่าวๆ จีงจะเริ่มลงมือทำ

ตอนช่วงจรดปากกาทำเองก็มีความสนุกจากความอิสระในตัวเองเมื่อไม่ต้องคิดอะไรในใจมากมายนัก การวาด doodle หรือ การวาดรูปเล่นเองก็เป็นฝึกความคิดสร้างสรรค์อีกแบบหนึ่ง ลองวาดก่อนแล้วเอากลับมาลองคิดทวนซ้ำ คิดใหม่แล้วกลับไปลองวาดใหม่อีกครั้งเพื่อหาผลลัพธ์ใหม่ก็ได้ โดยห้วงความรู้สึกขณะจดปากกาในช่วงนี้ถึงจะมีความหลากหลาย แต่เราก็สามารถสนุกกับมันได้โดยไม่หลุดออกนอกแบบที่เรากำหนดเมื่อมี message หลักทำหน้าที่เป็น constrain ให้แล้ว

แต่ในกรณีนี้คำถามใช้คำว่าในใจ อาจจะต้องการถามถึงในใจ (Heart) มากกว่าในความคิด (Head) หรือเปล่าแจนไม่แน่ใจ แต่ถ้าเป็นในใจ (Heart) คิดอะไร คำตอบก็คงเป็นเชื่อมั่นกับงานทีกำลังทำและมีความสุขกับช่วงเวลาที่จรดปากกาลงไปค่ะ

 

 

Illustrator : Suphitcha Jan Donsrichan
Website : http://www.jayspaper.com / http://www.facebook.com/jayspaper