Start spreading the news
I am leaving today
I want to be a part of it
New York, New York….
เครื่องลงจอดบนลานสนามบินเจเอฟเคทีไร เพลงนี้แว่วเข้ามาในใจทุกที บางครั้งก็ดังขึ้นจริงๆ เพราะกัปตันชอบบิวท์ผู้โดยสารว่า ถึงแล้ว… Big Apple… แต่พอไม่ได้ยินความทรงจำก็ช่วยทำงานให้แทน มันก็บรรเลงขึ้นมาเองในหัวได้ด้วยเหมือนกัน
เพลง New York, New York ของ Frank Sinatra สำหรับเรา คือ บทเพลงที่จับความเป็นนิวยอร์กในยุคสมัยที่เราเติบโต ทั้งด้านวิธีคิด การใช้ชีวิต และจิตวิญญาณ เพลงนี้มันให้ความรู้สึกเป็นยำรวมมิตรของผู้คน, ศิลปะ, ความรัก, เซ็กส์, ดนตรี และบรอดเวย์…
ตอนที่ได้โจทย์ให้เขียนบทความเกี่ยวกับนิวยอร์ก และ Sleep No More ในมุมมองของแอคติ้งโค้ช บอกเลยว่า กลัวที่จะเขียนไม่รู้ว่าจะจับอารมณ์ความคิดตัวเองได้หรือเปล่า แต่พอลงนั่ง เปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเริ่มพิมพ์ดราฟต์แรก เพลงขึ้นเลย…ขอบคุณ Frank Sinatra ขอบคุณนิวยอร์กที่ทำให้เรามาเจอกัน
นิวยอร์กมันคือ บ้านหลังที่สองของเราไปแล้ว เพราะความโชคดีที่สามีเป็นคนท้องถิ่น เกิดในแมนฮัตตัน ทุกๆ ปีทั้งครอบครัวเราต้องยกโขยงไปเยี่ยมพ่อของเขา ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับนิวยอร์กมันงอกเงยขึ้นเรื่อยๆ
นิวยอร์กในทุกวันนี้มันสะท้อนความรู้สึกแบบ Same thing but different ได้ดีมากๆ คือ เหมือนเดิมแต่ไม่เหมือนเดิม…จะกำกวมทำไม!? คือ มันเปลี่ยนไปเยอะมากนะในทุกๆ ปี แต่มันก็มาแล้วก็ไป เก่าไป ใหม่มาไม่ว่าจะเป็นร้านรวงต่างๆ บาร์ ผู้คน หรือแม้กระทั่ง Homeless ที่ผลัดเปลี่ยนกันไม่เว้นแต่ละปี ประหนึ่งว่า อ่อนแอก็แพ้ไป หนีไปอยู่ที่อื่น เพราะที่นี่ทุกคนมาวิ่งตามหา American Dream และจะเจอหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นนักสู้ที่เต็มไปด้วย Passion เท่านั้นที่จะอยู่รอด มาถึงตรงนี้ ขอตบเข้าประเด็นมุมมองของแอคติ้งโค้ชนะ เราพูดถึงเรื่องการแสดง ไม่ว่าจะละครเวทีละครทีวี ซีรีส์หรือหนัง มันมีการแสดงซ้ำๆ ทั้งนั้น และมันก็ให้ความรู้สึกแบบนี้แหละ เหมือนเดิมแต่ไม่เหมือน… อย่างนี้ละมั้งที่ทั้งนิวยอร์กและการแสดง มันถึงเป็นเสน่ห์ที่ตรึงเราไว้ ไปไหนไม่ได้สักที วนๆ ทำมันอยู่อย่างนี้ เพราะมันมีความสนุกอยู่กับเรื่องเดิมๆ ที่ไม่เหมือนเดิม
นอกจากการกลับไปเยี่ยมครอบครัวของสามีแล้วในทุกๆ ปี อีกโอกาสหนึ่งในชีวิต ที่ต้องถือว่าเป็นการอัปเกรด IOS ในสัมมาอาชีพของตัวเองได้เลยคือ การที่ได้กลับไปอัปเดตเทคนิคการแสดงใหม่ๆ และการได้ไปดูบรอดเวย์โชว์ และการแสดงทางเลือกหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Book of Mormon ที่ตลกน้ำตาเล็ด และเสียดสีแสบทรวงไปซะหมด, Wicked แม่มดตัวร้ายแห่ง Wizard of OZ ที่เต็มไปด้วยการตีความแบบใหม่ ที่เด็กวัย 7 ขวบก็สนุกสนาน ผู้ใหญ่ก็เอนจอย และรวมไปถึง Sleep no more – interactive performance เรื่องที่ต้องเขียนถึงอันนี้ด้วย
หลังจากได้อีเมลคอนเฟิร์มตั๋วในราคา 97 เหรียญต่อคน เราก็ได้ฤกษ์ไปลองของกันตามที่ผู้คนเค้ารีวิว ว่าสาหัสนักหนาสำหรับการแสดงเรื่องนี้ ต้องนอนให้พอเพียง ใส่รองเท้าที่สบายเท้า เพราะทั้งวิ่งทั้งเดินกันเยอะมาก ทำเอา 4 สาว Sex and the city อย่างเราๆ ต้องเตรียมตัวและเตรียมใจกันมาอย่างดี แต่ที่สรีระเป็นสาวเห็นจะมีแต่เราคนเดียว 1 สาวที่รายล้อมด้วย 3 เก้งหนุ่ม ตัวสูงหน้าตาดี ให้ความรู้สึกเป็น Queen B ตอนย่างก้าวเข้าไปในโรงแรม McKittrick ก่อนที่จะเข้าชมการแสดง บริเวณด่านแรกจะเป็นเหมือน Jazz bar ที่มีขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทางเราก็ขอจัดไปด้วย ไวน์แดงหนึ่งแก้วย้อมใจ เพราะไม่รู้จะเจออะไรหลังจากนี้ ยังไงก็ขอให้รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจไว้ก่อน
และก็ไม่มีคำว่าผิดหวัง สำหรับประสบการณ์ที่เกินความคาดหมาย ฉากแรก เป็นคนเดียวท่ามกลางคนนับสิบที่ถูกตัวละครดึงเข้าไปในกระท่อมกลางป่า ตัวละครพูดคุยกับเราประหนึ่งว่าเราคือตัวละครอีกตัว ชงชาให้ดื่มด้วย จำไม่ได้แล้วว่าอร่อยมั้ย แต่ตื่นตาตื่นใจมาก ตัวละครทั้งพูดกับเรา ร้องเพลงให้ฟังด้วย แถมร้องไห้ระบายความในใจให้ฟัง ทำเอาคนที่ทำงานเกี่ยวกับการแสดงมาเกือบ 10 ปีอย่างเรา ก็เหวอเหมือนกันนะ คือ ดีอ่ะ เค้าไม่หลุดเลย แม้ว่า React เราจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ ตอนนั้น React เราก็มีทั้งงงๆ แบบ เอ๊ะ! มันพูดกับเราจริงๆ เหรอเนี่ย ปนเปไปกับ React แบบ อ่ะๆๆ เล่นตามน้ำไป พยักหน้าหงึกหงักเห็นใจ แต่ก็ไม่หลุดเลย ตัวละครในหัวเค้าคือ แข็งแรงมาก ก.ไก่สิบตัว
ขอไม่ลง Detail อื่นๆ ในซีนต่างๆ เพราะเชื่อว่าคนที่เข้าไปชมการแสดงเรื่องนี้แต่ละคนคงได้อรรถรสที่ไม่เหมือนกัน แต่ขอพูดในแง่มุมของโค้ชการแสดงว่า นักแสดงในเรื่องนี้ทุกคนสมาธิดีมาก คาแรคเตอร์แข็งแรงมาก และพลังงานเยอะมาก เพราะนอกจากการขับเคลื่อนเรื่องราวไปตามแกนเรื่องแล้ว นักแสดงยังต้องแสดงซ้ำๆ กันเป็น Loop ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันต้องใช้พลังงานมหาศาลในการทำสิ่งเดิมๆ ให้เหมือนประหนึ่งว่าเป็นครั้งแรก แถมยังไม่รู้ว่าจะเจอถานการณ์อะไรที่เป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถควบคุมได้ ขอแชร์ประสบการณ์ที่ได้เจอมากับตัว คือมีฉากหนึ่งเราเลือกเดินตามคนแคระ เข้าไปในห้องที่เขาเปิดกล่องเพื่อหยิบเข็มออกมาร้อยด้ายเข้าไป แล้วระหว่างนั้นตัวละครก็หยิบโน่นหยิบนี่อยู่ พอจะกลับมาหยิบของจากกล่องด้าย ก็มีคนจีนที่เป็นคนดูด้วยกันนี่แหละจ้า ใส่หน้ากากสีขาวเหมือนกันหยิบกล่องด้ายเค้าขึ้นมาเปิดส่อง หยิบโน่นหยิบนี่ออกมาดู เราก็ลุ้นแทบตาย ว่าไปหยิบของเขามาทำไม!?? แล้วเค้าจะทำยังไงต่อ ทำไมอยู่ไม่สุขแต่ตัดภาพไปที่นักแสดงคนแคระ เค้าก็ยังหยิบโน่นหยิบนี่ ทำ Action อื่นๆ ไปในฐานะตัวละครจนกระทั่งอีเจ๊คนจีนเอากล่องด้ายวางคืนที่เดิมพี่ตัวละครคนแคระเค้าถึงจะหยิบกล่องออกมาเปิดออกแล้วแสดงต่อไปตามเรื่องของเขา มาถึงจุดนี้บอกได้เลยว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับนักแสดงที่ต้องอยู่กับปัจจุบันแบบสุดๆ แก้ปัญหาแบบตัวละครสุดๆ เพราะนอกจากการที่เขาต้องถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครแล้ว คนดูคนอื่นๆ ก็จับจ้องเค้าว่า ตัวละครจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้ สถานการณ์ที่ควบคุมคนดูไม่ได้เลย เพราะมันคือ Interactive performance เมื่อคุณเปิดให้คนดูมามีส่วนร่วมนักแสดงก็ต้องพร้อมกับการจัดการกับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ในฐานะตัวละคร มันเลยสนุกเป็น Magic ของการแสดง ที่ไม่ว่าจะไปดูกี่ครั้งกี่รอบ และกี่คน แต่ละครั้ง แต่ละคนก็ได้ประสบการณ์การชมที่ไม่เหมือนกัน เพื่อนที่ไปดูด้วยกัน คนแรกคือ เบื่อมาก บอกไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย อาจจะเดินตามผิดคน คนที่ 2 เป็นฝรั่งจากเวเนซุเอลา เกลียดมาก เกลียดที่คนกรูตามกัน วิ่งตามตัวละคร จะอยากรู้อะไรกันนักหนาในขณะที่คนที่ 3 คือ ว้าวมาก รู้สึกว่ามันเจ๋งมันคูล โคตรเท่ ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน ส่วนตัวเรารู้สึกทึ่งและเคารพทั้งนักแสดงและรูปแบบการแสดงแบบนี้มาก มันอาศัยความกล้า ความสด และคำว่า In the moment ของนักแสดงที่มันยากมากๆ แต่นักแสดงในโชว์นี้ พิสูจน์ให้เห็นเลยว่า คำว่า Magic มันมีอยู่จริง แต่จะเจอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่ตามหา….
Every time our family visited New York, I would always find time to see a stage performance to broaden by my horizon as an acting coach. And one of the most memorable shows was Sleep No More, an interactive performance that went far beyond my expectation.
Created by British theatre company Punchdrunk, Sleep No More puts a new spin on Shakespeare’s Macbeth, resulting in a dialogue-deprived dramatic frenzy that takes place in a 1930s-era establishment called the McKittrick Hotel. Wearing white masks, the audience is allowed to roam the theatrically designed rooms, chasing characters up and down the stairs at their own liking.
At one point, I chose to follow a dwarf into a room. In this scene, he was supposed to thread a needle. First, he took the needle and then turned around to pick up the thread box only to see that one of the audience was mindlessly prying it open to see what was inside. For an uncomfortable moment, the dwarf continued to “search” for the box and, all of a sudden, he finally “found” it just after that person decided to give up playing with it. This particular scene was just one example that proved the unwavering concentration and quick wits of the cast throughout the entire performance.
In interactive performances, he audience’s participation is a ajor factor that leads to endless unpredictable circumstances. It is therefore crucial that the
performers stay focused and are
fast to improvise. But this is such a challenge when all eyes are fixed on you. Yet Sleep No More’s performers were exceptionally poised and “in the moment” that it wouldn’t be an overstatement to say that they were the reasons why this show was
nothing short of magic.
Text : Romchat Tanalappipat
Image : Yaniv Schulman andAlick Crossley
Special Thanks : Spark Drama Studio